การใช้งาน Microsoft Office Access
Access เป็นโปรแกรมจัดการฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ หรือที่เรียกว่า RDBMS สำหรับจัดเก็บข้อมูลต่างๆ ให้เป็นหมวดหมู่ เรียกว่า ฐานข้อมูล จากนั้นจึงจะนำเอาข้อมูลสร้างเป็นแบบฟอร์ม เพื่อช่วยในการ ค้นหาข้อมูลให้สะดวกและง่ายขึ้นออกมาเป็นรายงานที่สวยงามเป็นระเบียบ และอื่นๆ อีกมาก
จากการที่การใช้งาน Access นั้นต้องมีการเกี่ยวข้องกับเรื่อง ฐานข้อมูล ดังนั้นก่อนที่เราจะไปดูการใช้งานของ Access มาทำความเข้าใจในเรื่องของ ฐานข้อมูล กันก่อน
ความหมายของฐานข้อมูล
ฐานข้อมูล (Database) คือ การเก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่รายละเอียดของข้อมูลที่เกี่ยวข้องกัน ซึ่งถูกนำมาใช้ในงานด้านต่าง ๆ เช่น ด้านธนาคาร จะมีฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลเงินฝาก ข้อมูลเหล่านี้จะถูกจัดเก็บไว้อย่างมีระบบ และมีความสัมพันธ์กัน เพื่อประโยชน์ในการจัดการและรียกใช้ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อมูลที่จัดเก็บในคอมพิวเตอร์ โดยแท้จริงแล้ว มีลักษณะการจัดการเก็บเป็นสัญญาณดิจิตอลคือมีค่า 0 กับ 1 เท่านั้น แต่เพื่อให้มองภาพข้อมูลได้ง่าย จึงแบ่งหน่วยในการจัดเก็บข้อมูลออกเป็นส่วนยาอย ต่าง ๆ ดังนี้
1. บิต (Bit) คือหน่วยข้อมูลที่เล็กที่สุด คือการจัดเก็บข้อมูลที่ที่มีอยู่เพียง 2 สถานะ คือ 0 กับ 1 ซึ่งเป็นลักษณะการทำงานของคอมพิวเตอร์ที่ทำงานด้วยระดับสัญญาณดิจิตอล
2. ไบต์ (Byte) คือหน่วยของข้อมูลซึ่งเกิดจากการนำข้อมูล 8 บิตมารวมกัน โดยใช้แทนตัวอักขระ 1 ตัว
3. เขตข้อมูล (Field) หรือฟิลด์ คือหน่วยของข้อมูลซึ่งเกิดจากการนำข้อมูลหลาย ๆ ไบต์หรือหลาย ๆ อักขระมารวมกัน เพื่อใช้แทนความหมายของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น รหัสนักศึกษา , ชื่อ , ที่อยู่เป็นต้น
4. ระเบียน (Record) หรือ เรคคอร์ด คือหน่วยของข้อมูลซึ่งเกิดจากการนำข้อมูลหลาย ๆ เขตข้อมูลมากรวมกัน ซึ่งเขตข้อมูล ที่นำมารวมกันนี้ จะมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน เช่น รหัสนักศึกษา , ชื่อ , ที่อยู่ รวมกันเป็นระเบียนข้อมูล ของนักศึกษา เป็นต้น
5.แฟ้มข้อมูล (File) หรือ ไฟล์ คือหน่วยของข้อมูลซึ่งเกิดจากการนำข้อมูลหลสย ๆ ระเบียนที่มีลักษณะ ของเขต ข้อมูลเหมือนกันมาจัดเก็บข้อมูล เช่น การจัดเก็บข้อมูลระเบียนของนักศึกษาหลาย ๆ คนรวมกันเป็น แฟ้มข้อมูลนักศึกษาเป็นต้น ซึ่งข้อมูลแต่ละระเบียนที่นำมารวมกันจะต้องมีเขตข้อมูล อย่างน้อน 1 เขต ข้อมูลที่แยกความแตกต่างของข้อมูลในแต่ละรายละเบียนได้
โครงสร้างของฐานข้อมูล
ศัพท์พื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับฐานข้อมูล
1. Relational Database หมายถึง ความสัมพันธ์ของฐานข้อมูล ซึ่งกันและกัน
2. Charcter หรือ TEAT หมายถึง ตัวอักษรที่เป็นได้ทั้งภาษาอังกฤษ ไทย ตัวเลขรวมถึงเครื่องหมายต่างๆ
3. Field หมายถึง ชื่อที่ใช้แทนรายละเอียดต่างๆ
4. Record หมายถึง ชุดของข้อมูล 1 ชุด อาจจะประกอบไปด้วย Field หลายๆ Field รวมกันและมีความสัมพันธ์กัน
5. File หมายถึง แฟ้มข้อมูลที่เก็บข้อมูลหลายๆ Record
ในยุคเริมแรกของการนำคอมพืวเตอร์มาใช้เพื่อจัดเก็บข้อมูล จะใช้ระบบแฟ้มข้อมูลซึ่งแฟ้มข้อมูลแต่ละแฟ้มมักจะถูกสร้างตามภาษาคอมพิวเตอร์ที่โปรแกรมเมอร์ใช้เขียนในโปรแกรม เช่น หาก โปรแกรมเมอร์ใช้ภาษาซี ในการเขียนโปรแกรม แฟ้มข้อมูลที่ถูกสร้างก็จะมีโครงสร้างของแฟ้มข้อมูล ตามโครงสร้าง ที่ภาษาซีกำหนดไว้ ตัวอย่างการใช้งานแฟ้มข้อมูแสดงรูปดังนี้
จากปัญหาต่าง ๆ ของระบบแมข้อมูลจึงได้มีระบบฐานข้อมูลเกิดขึ้น ซึ้งลักษณะของฐานข้อมูลจะเป็นการนำข้อมูลที่เกี่ยวเนื่อง ทมีความสัมพันธ์กันมาจัดเก็บไว้ด้วยกัน โดยทั่วไปจะเรียกตามลักษณะของข้อมูลนั้น ๆ ว่าเป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับเรื่องใด หรือการทำงานใด เช่น ระบบฐานข้อมูลนักศึกษาก็จะเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับนักศึกษา เป็นต้น
ระบบฐานข้อมูลจะมีลักษณะคล้ายการนำแฟ้มข้อมูล ที่มีความสัมพันธ์กันมาจัดเก็บไว้ด้วยกันแต่ลักษณะโครงสร้างการจัดเก็บ รวมทั้งวิธีการใช้งานข้อมูล ของฐานข้อมูล จะมีความแตกต่างออกไปจากแฟ้มข้อมูล ซึ่งการใช้งานระบบฐานข้อมูลจะต้องมีโปรแกรมที่ทำหน้าที่ในการบริหารจัดการข้อมูลและเป็นตัวกลางระหว่าง ผู้ใช้กับฐานข้อมมูล ที่เรียกว่า "Database Management System (DBMS)" หรือระบบจัดการฐานข้อมูล
ประวัติความเป็นมาของระบบฐานข้อมูล
ระบบฐานข้อมูลเกิดขึ้นมาเนื่องจากโครงการอพอลโลของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นโครงการส่งมนุษย์อวกาศไปลงดวงจันทร์ จากโลกการดังกล่าวมรข้อมูลเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเพื่อให้สามารถจัดเก็บข้อมูลต่าง ๆ ลงในคอมพิวเตอร์ได้สะดวก จึงได้ว่าจ้างบริษัท IBM พัฒนาระบบเพื่อจัดเก็บข้อมูลดังกล่าว GUAM ต่อจึงได้มีการพัฒนาเพื่อนำไปใช้งานในเชิงธุรกิจ
ในยุคปี ค.ศ. 1968 Dr.E.F. Codd ได้เสนอโมเดลเชิงสัมพันธ์ ซึ่งมีหลักการอยู่บนพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ เพื่อแก้ปัญหาของโมเดลฐานข้อมูลแบบเดิม หลังจากนั้นบริษัท IBM ก็ได้นำแนวคิดของ Dr.E.F. Codd ไปสร้างระบบฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ที่ชื่อว่า ระบบ R ขึ้น และพัฒนามาเป็นระบบ DB2 ในปัจจุบันมีผู้ผลิตซอฟต์แวร์ฐานข้อมูลขึ้นมากมาย โดยใช้ทฤษฎีของ Dr.E.F. Codd เพื่อสร้างระบบฐานข้อมูล เชิงสัมพันธ์ขึ้นมา เช่น Microsoft Access,MSSQL Server,Oracle,Informix เป็นต้น
ระบบฐานข้อมูล จะช่วยแก้ปัญหาของระบบแมข้อมูล และมีประโยชน์ หลาย ๆ ด้านดังนี้
-
ลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล
-
แก้ปัญหาความขัดแย้งของข้อมูล
-
การบริหารจัดการฐานข้อมูลทำได้ง่าย
-
กำหนดมาตรฐานของข้อมูลได้
-
สามารถใช้งานฐานข้อมูลร่วมกันได้
-
เกิดความเป็นอิสระระหว่างข้อมูลกับโปรแกรม
-
กำหนดระบบรักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูลได้
ขั้นตอนการออกแบบฐานข้อมูล
ในการจัดการเกี่ยวกับ ฐานข้อมูล การออกแบบฐานข้อมูลมีความสำคัญอย่างยิ่ง เราลองมาดูซิว่าหลักในการออกแบบมีไรบ้าง
1. กำหนดวัตถุประสงค์ของข้อมูล
2. ศึกษาและวิเคราห์ข้อมูล
3. ศึกษารายละเอียดของข้อมูล
4. กำหนดความสำพันธ์แต่ละตารางในฐานข้อมูล
5. บันทึกข้อมูลและสร้างออฟเจ็กต์ต่างๆ ของฐานข้อมูล
6. วิเคราะห์และตรวจสอบฐานข้อมูลที่สร้างขึ้น
ส่วนประกอบของ Microsoft Access ในการสร้างตารางข้อมูล
หมายเลย 1 แถบชื่อเรื่อง (Title Bar) แถบแสดงชื่อโปรแกรมและชื่อแฟ้มข้อมูล
หมายเลย 2 แถบเมนู (Manu Bar) แถบรวมคำสั่งที่ใช้งานทั่งหมดในโปรแกรม
หมายเลย 3 แถบเครื่องมือ (Tool Bar) แถบไอคอนคำสั่งที่ใช้งานประจำหรือที่สำคัญใช้งานบ่อยๆ
หมายเลย 4 วินโดว์ฐานข้อมูล (Database Windows) ใช้ในการทำงาน
หมายเลย 5 แถบแสดงสถานะ (Status Bar)
องค์ประกอบของแถบวัตถุในฐานข้อมูล
สำหรับเก็บข้อมูล
สำหรับดึงข้อมูลที่ได้จากการค้นหาตามเงื่อนไข
สำหรับแสดงข้อมูลที่ได้จากตารางหรือแบบสอบถาม
คล้ายๆ กับฟอร์ม แต่ข่อมูลที่แสดงออกมาแก้ไขไม่ได้
เป็นทางลัดไปยัง data access pages
เป็นชุดคำสั่งหรือขั้นตอนง่ายๆ ให้เลือกใช้
เป็นโปรแกรมสำเร็จรูปภาษา Access Basic
ขั้นตอนที่ 1 : เลือก ฐานข้อมูลเปล่า
ขั้นตอนที่ 2 : เลือก ฐานข้อมูล กด ตกลง
ก็จะได้หน้าฐานข้อมูล
|